ผู้รับใช้พระเจ้าสายพันธุ์ใหม่ ! โดย เรวัฒน์ เทพจักร์
ปี คศ 2010 เป็นปีที่คริสเตียนไทยตั้งความหวังไว้สูงมาก นั่นก็คือการรวมพลังนำข่าวประเสริฐ และตั้งคริสตจักรไปทั่วทุกตำบล ทุกอำเภอ ทุกหมู่บ้าน การที่คริสตชนไทยจะสานให้ฝันนั้นเปิดเป็นจังได้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีปัจจัยที่สำคัญช่วยกระตุ้น ปลุกเร้าให้คริสเตียนไทยมีจิตวิญญาณเยี่ยงเดียวกัน ผู้นำคริสตจักรในยุคปัจจุบันเปรียบเสมือนทัพหน้าในการรุกสู่แผ่นดิน สร้างเครือข่าย ขยายแผ่นดินออกไป ซึ่งสำคัญที่มาก็คือการเร่งสร้างพัฒนาบุคลากรเพื่อทำให้เป้าหมายของประเทศสัมฤทธิ์ผล เพื่อให้ได้บุคคลซึ่งมีขีดความสามารถในการทำพันธกิจเหนือศัตรูของเราคือมารซาตาน การสร้างนักเทศน์ และนักบริหารองค์กรพันธุ์ใหม่ ก็เปรียบได้กับการที่เราเอาเมล็ดพืชชนิดหนึ่งมาทำการปรับเปลี่ยนสายพันธ์ เพื่อให้ได้สายพันธุ์ใหม่ที่เหมาะกับสภาพดินฟ้าอากาศ มีความทนทาน ให้ผลผลิตมากตลอดปี ผู้รับใช้ของพระเจ้าควรจะมีลักษณะชีวิตในลักษณะดังต่อไปนี้คือ
1. ทันการณ์ ทันโลก ทันสมัย มีความฉลาดเฉลียว มีข้อมูลข่าวสารทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม แม้กระทั้งด้านกีฬาต่างๆ ทำไมก็เพราะว่ากลุ่มเป้าหมายที่เรากำลังจะทำงานประกาศข่าวประเสริฐกับเขา เขาเหล่านั้นเป็นบุคคลซึ่งมีโลกทัศน์ที่กว้างขวาง มีการศึกษาสูง มีระบบเครือข่ายที่สับซ้อนมาก แน่นอนถ้าผู้รับใช้พระเจ้ายังมัวแต่ชื่นชมกับระบบการทำงาน การบริหารงานแบบเก่าๆ อยู่ นอกจากเราจะก้าวไปไม่ทันโลกแล้ว เรายังชักช้าเกินกว่าไปให้ถึงฝันของปี คศ 2010 ยากที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จ ในยุคปัจจุบันคริสตจักรต่างๆจำเป็นจะต้องมีคอมพิวเตอร์ไว้ใช้ในสำนักงานกันได้แล้ว ซึ่งแน่นอนหากคริสตจักรทั่วประเทศไทยสามารถส่งอีเมล์ถึงกันได้ทั้งหมด การที่เราจะประสานงาน ประสานใจกันก็ง่ายนิดเดียว งานของเราก็จะรวดเร็วขึ้นเยอะเลย ไม่ต้องมานั่งลงหวังระบบการติดต่อสื่อสารแบบโบราณอีกต่อไป ซึ่งนอกจากจะเสียเวลาแล้วยังเสียเงินมากกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้นำคริสตจักรจะต้องมีการเตรียมความพร้อมที่ก้าวไปสู่ความทันโลกทันสมัยด้วย เงินไม่ใช้ปัญหาของการก้าวไปสู่การทันโลก ถ้าเราเชื่อพระเของเราทรงยิ่งใหญ่ ทรงเป็นเจ้าเหนือสารพัดสิ่ง ซึ่งนั่นก็หมายความว่าจะต้องมีหน่วยใหญ่จัดการสัมนาให้ความรู้ด้านการบริหารงานยุคใหม่ เพื่อสร้างผู้นำสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมา และสร้างระบบเครือข่ายให้เกิดขึ้นในโลกคริสตชนไทยเรา มีระบบศูนย์ข้อมูลข่าวสารคริสเตียนไทยที่ดี สามารถรู้ได้ทุกอย่างในการเริ่มพันธกิจใหม่ๆ สามารถหาแหน่งสนับสนุนในการเริ่มพันธกิจแห่งใหม่ได้ สามารถมีพี่เลี้ยงในการคอยให้คำแนะนำในการเริ่มปลูกคริสตจักรใหม่ ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างไปหาการสนับสนุนต่างประเทศกันเอง มาถึงนี้แล้วพวกเราก็น่าจะหันมาถามตัวของเราว่า การที่จะฝันไปถึงปี2010 นั้น ผู้นำในองค์กรของเราได้มีโลกทัศน์ที่กว้างพอหรือยัง
2. รู้จักกลุ่มเป้าหมายของเราเป็นอย่างดี Customer Relationship Management หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือว่า วิญญาณของผู้นำคริสตจักรจะต้องมีลักษณะที่สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มเป้าหมายของเราเป็นอย่างดี แน่นอนสิ่งแรกที่ผู้คริสตจักรจะต้องพึงกระทำก็คือ มีการจัดการเก็บข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายที่เรากำลังจะเข้าไปทำพันธกิจอย่างระเอียด เช่นจำนวนประชากร จำนวนครัวเรือน จำนวนสถานศาสนากิจ ความต้องการของคนในชุมชนนั้นๆ หรือแม้กระทั้งสิ่งที่คนในชุมชนนั้นๆปฏิเสธ ข่าวประเสริฐ สิ่งเหล่านี้จะต้องมีการจัดทำเป็นฐานข้อมูลให้เป็นระบบเพื่อการทำความเข้าใจทุ่งนาที่เรากำลังหว่านข้าว จะต้องมีการทำวิจัย ติดตามผลการทำงานอย่างเป็นระบบจริงๆ ซึ่งแน่นอนการที่เราจะทำได้ถึงระดับนี้ได้ หมายความว่าเราได้สร้างความพร้อมในตัวของผู้นำสายพันธุ์ใหม่เรียบร้อยแล้ว การที่จัดสัมนาเพื่อท้าทายผู้นำให้ออกไปทำพันธกิจอย่างเดียวจะไม่มีผลมากมาย เพราะผู้นำยุคเก่าที่ถูกผลักดันก็เหมือนกับเรารถรุ่นเก่าทำสีใหม่ ซึ่งถ้าให้ดีจำเป็นต้องมีการยกเครื่องใหม่ ในบางคริสตจักรระบบความสัมพันธ์ที่ดีต่อกลุ่มเป้าหมายยังไม่ดีพอเลย สังคมยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า คริสตจักรคืออะไร ทำงานเกี่ยวกับศาสนา แต่ว่าวัตถุประสงค์เพื่ออะไร เมื่อมีคนใหม่ๆเข้ามาในคริสตจักร คริสตจักรก็ไม่สามารถมีการต้อนรับที่เกิดความประทับใจ ไม่มีการจัดเก็บข้อมูลเพื่อการติดตามผลในโอกาสต่อไป ซึ่งปัญหาคริสตจักรการหาลูกแกะใหม่ๆเป็นสิ่งที่ยาก แต่ความจริงแล้วการที่จะรักษาสภาพสมาชิกเก่าๆ เป็นสิ่งที่ยากลำบากมากกว่า เพราะสมาชิกเก่าๆฉลาดขึ้น มักจะออกเดินไปเที่ยวหาทุ่งหญ้าที่เขียวสด แอร์เย็นๆ ดนตรีเพราะๆ ที่จอดรถสะดวก ในที่สุดจะก่อให้เกิด การพูดปากต่อปาก Word of Mouth กระจายวงกว้างไปสู่มวลสมาชิก จุดตรงนี้แหละที่ผู้นำสายพันธุ์ใหม่จำต้องมีการปรับตัวเองเพื่อ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อสังคมชุมชนที่เรากำลังบุกเบิกพันธกิจอยู่ จนทำให้เกิดการยอมรับจากสังคมนั้นๆให้จงได้ ตัวอย่าง สถานีโทรทัศน์ช่อง3 และITV มีการปรับปรุงผังรายการใหม่เพื่อสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ช่องสามงดข่าวแต่เพิ่มละครหวังดันเรตติ้งไล่บี้ช่องอื่นๆ แถมยังมีการจัดโปรโมชันลด แจก แถมอีกต่างห่าง หกเราจะเข้าไปทำงานช่วยสังคมนั้นๆ เรารู้จักสภาพที่แท้จริงของสังคมนั้นได้ดีหรือยัง
3. เรียนรู้ตลอดชีวิตรับใช้ Long Life Education การเป็นผู้นำสายพันธุ์ใหม่ จะไม่มีคำว่าหยุดการพัฒนาชีวิตของตนเอง จำต้องมีการฝึกวิทยายุทธ์ตลอดเวลา แต่ไม่ก็ไม่ได้หมายความว่าอาจารย์ท่านจะต้องไปร่วมเสียทุกการสัมนา ทุกการประชุมฟื้นฟู เพราะปัญหาเรามีสัมนาดีๆเยอะเกินไป เดี๋ยวกลุ่มนั้นกลุ่มนี้จัด แล้วเราก็กลายเป็นพวกที่ชอบปริโภคอาหารฝ่ายวิญญาณ ทำให้การพัฒนาตัวเองขาดคุณภาพ ไปรับเอาข้อมูลมากมายมาเก็บไว้ จนในที่สุดไม่รู้จะเอาหลักการใดมาใช้ในพันธกิจของตนเอง แต่สำหรับบางคนก็เข้าใจผิดคิดว่าตนเองมีพระวิญญาณช่วยสอนแล้วไม่จำเป็นจะต้องไปรับการอบรมที่ไหน เพียงอ่านพระคัมภีร์ และอธิษฐาน แล้วขึ้นเทศนาได้เลย ทำให้คำเทศนามีแต่เนื้อ สมาชิกกลืนเข้าไปไม่ไหว ผู้นำสายพันธุ์ใหม่จะไม่อาศัยประสบการณ์เดิมของตนเอง หรือของผู้นำรุ่นเก่าๆ มาเป็นกลยุทธ์ของตนเอง เนื่องจากสภาพสังคมในที่ๆที่เราทำงานอยู่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทุกองค์กรจะต้องมีการปรับกลยุทธ์ใหม่เสมอๆเพื่อเสนอพระกิตติคุณ เพื่อเราสามารถดึงใจของกลุ่มเป้าหมายได้ ผู้นำคริสตจักรจะต้องมีการอบรมสร้างเสริมทักษะตลอดเวลาเป็นการสร้างตาข่ายความคิดให้แตกแขนง รู้จักคิดค้นวิธีการนำเสนอข่าวประเสริฐ การสัมนาต่างๆที่เราเข้าไปร่วมอย่าคิดว่านั่นคือยาขมหม้อใหญ่ ที่จะสามารถรักษาโรคได้ทุกชนิด แต่มันเป็นเพียงยากระตุ้นชั้นดีที่ทำให้ผู้นำคริสตจักรรู้สึกตื่นตัวที่จะลุกขึ้นไปทำพันธกิจ ผู้นำสายพันธุ์ใหม่ตัวจริงกระทิงแดง จะไม่มีวันหยุดการพัฒนาตนเองเด็ดขาด เพราะเมื่อไหร่ที่คุณหยุดการเรียนรู้ คุณจะหมดอนาคตการรับใช้ทันที คงไม่มีสมาชิกคนไหนภูมิใจในตัวของผู้นำของตน หากผู้นำคนนั้นยังคงเป็นเพียงผู้นำคริสตจักรที่ซื่อบื้อ
4. ใช้เทคโนโลยีให้เป็น High Technology ผู้นำองค์กรสายพันธุ์ใหม่ นอกจากจะต้องทันโลกทันเหตุการณ์แล้ว จะต้องใช้เทคโนโลยีเป็นด้วย ไม่ใช่ว่าเราพยายามวิ่งตามเทโนโลยี แต่เรากลับไม่สามารถใช้มันได้อย่างคุ้มค่า ก็เท่ากับว่าเราได้จ่ายค่าสิ่งนั้นมาด้วยราคาที่แพงมหาโหด คอมพิวเตอร์มีประโยชน์มากกว่าการพิมพ์งาน พิมพ์คำเทศนาเท่านั้น องค์กรจะต้องส่งผู้นำคริสตจักรของตนออกไปรับประสบการณ์ใหม่ๆในการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ มารซาตานมันยังเรียนรู้จักใช้เทคโนโลยีใหม่ๆในการทำพันธกิจของมัน มันนำจานดาวเทียมมาเพื่อการสื่อสารในองค์กรของมัน แต่คริสตจักรยังมัวมานับจำนวนดาวไถอยู่ ทำให้พันธกิจ 175 ปีไปได้ไม่ไกล ในอดีตขอเพียงคุณมีความรู้พระคัมภีร์เล็กน้อยคุณก็สามารถนำคนมากมายรับเชื่อได้แล้ว แต่ในยุคปัจจุบันการพูดอย่างเดียวไม่เพียงพอแล้ว จำเป็นจะต้องเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ต่างๆอำนวยความสะดวกในพันธกิจของเราด้วย น่าเศร้าใจที่หลายคริสตจักรมีวัตถุดิบ มีปัจจัยแต่ผู้นำกลับขาดศักยภาพในการใช้เทคโนโลยีนั้นๆ ผู้นำองค์กรสายพันธุ์ใหม่จำต้องคล่องแคล่วในการใช้อิเล็กฯ ก้าวไปให้ทันเทคโนโลยีใหม่ๆ เราจะสามารถก้าวตามเทคโนฯได้ก็จะต้องมีการเรียนรู้เข้าไปศึกษาหาประสบการณ์ใหม่ๆ กับผู้รู้ทั้งหลาย เพื่อนำวิทยาการใหม่ๆเข้ามาใช้ในองค์กรของคริสตจักรต่อไป
5. ผู้นำสายพันธ์ใหม่ทำงานเป็นเครือข่าย Team Work ในวงการคริสเตียนไทยเรามีศิลปินเดี่ยวเสียมาก ออกลุยประกาศคนเดียว สำเร็จคนเดียว เจอปัญหาคนเดียว ผู้นำสายพันธุ์ใหม่เน้นการทำงานเป็นทีม เป็นเครือข่าย เป็นทีมงาน ไม่ใช่ฉายเดี่ยว ชอบทำงานเป็นทีมเลิก มากว่าทีมเวิรด์ แน่นอนคนที่จะทำงานกับคนอื่นๆได้จะต้องมีจิตใจกว้างขวาง คนที่มีจิตใจแคบไม่มีทางที่จะทำงานเป็นทีมกับคนอื่นได้ การทำงานเป็นทีมจะต้องคิด และอธิษฐานมองเห็นนมิตร่วมกัน ปัญหาผู้องค์กร ณ วันนี้นั้นชอบเขียนรายชื่อหน่วยงานเป็นรูปแบบคณะกรรมการ มองดูน่าเชื่อถือ แต่ระบบการเงิน การตัดสินใจเจ้าพี่ลุยเองหมด หมกเม็ดกับลูกทีม บางคนชอบทำงานกับคนในตระกูลของตนเองมากกว่า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอันตรายยิ่งต่อคริสตจักรไทย ผู้นำสายพันธุ์ใหม่จะมุ่งทำงานกับคนอื่น เปิดใจยอมรับความคิดเห็นของคนอื่นๆ ไม่ใช่มองคนอื่นยังเด็กกว่าตนเอง ผู้นำสายพันธ์ใหม่จะมีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีการถ่ายทอดเทคนิค ความรู้ วิธีการ ข้อมูลต่างๆแก่เพื่อนร่วมงาน และเพื่อนต่างองค์กรด้วยใจกว้างขวางอย่างพระอาจารย์ของเรา อย่างนี้จึงจะเข้าข่ายเป็นผู้นำยุคใหม่พันธ์ใหม่ตัวจริง
6. มีจรรยาบรรณ Ethics ผู้นำสายพันธุ์ใหม่ จะต้องมีจริยธรรมประจำใจอยู่ข้างใน ไม่ใช่มุ่งเอาแต่ผลงาน ทำผลงานเข้าองค์กรของตนเท่านั้น ไม่ใช่พยายามสร้างหอบาเบลขึ้นในองค์กรของตนเอง จนไม่เคยเงยหน้าขึ้นมองดูคนอื่นๆบ้าง ความถูกต้อง ความใสสะอาดโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญในการเป็นผู้นำคน ผู้นำสายพันธุ์ใหม่จะต้องมีจรรยาบรรณในการนำเสนอพระกิตติคุณที่แท้จริง ไม่ใช่ทำทุกวิธีเพื่อจะได้ดวงวิญญาณมารวมกันในคริสตจักรเพื่อภาคภูมิใจว่า ว่าฉันทำงานประสบความสำเร็จกว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่จะต้องดำเนินไปอย่างมีจรรยาบรรณ ผู้นำสายพันธุ์ใหม่จะไม่ประกาศข่าวประเสริฐในเชิงลบหลู่ศาสนาอื่นๆ ผู้นำบางคนหยิบฉวยเอาความอ่อนแอของกลุ่มเป้าหมาย ไปหาผลประโยชน์ หาการเงินสนับสนุนจากต่างประเทศเข้าในองค์กรของตนเอง ซึ่งประเทศที่พัฒนาแล้วก็ย่อมมีภาระใจกับประเทศที่ด้อยการพัฒนา พระเยซูคริสต์มิได้กระทำเช่นนั้น ทั้งๆที่พระองค์มีโอกาสบ่อยครั้งที่จะกระทำเช่นนั้น คุณธรรมประจำใจของผู้นำเป็นสิ่งที่สำคัญ เราไม่ใช่เพียรพยามมุ่งเพิ่มจำนวนสมาชิกคริสเตียนในประเทศ ให้ทัดเทียมกับนานาประเทศ แต่ควรจะออกมาจากภาระใจข้างใน ที่อยากจะเห็นประเทศไทย มีคริสตจักรเพื่อพระคริสต์ เหตุฉะนั้นผู้นำสายพันธุ์ใหม่จะไม่มาเสียเวลากับการทะเลาะถกเถียงสำคัญว่าตนถูกต้อง แต่ผู้นำจะต้องเป็นคนที่มีคุณธรรม มีจรรยาบรรณ ต่อลูกแกะ และต่อเพื่อนร่วมงานในองค์กรและต่างองค์การ ต้องไม่เป็นคนกินเล็กกินน้อยกับลูกแกะ หรือมัวแต่รีดนมลูกแกะกินทุกวัน หรือ มีอะไรแอบแฝงอยู่ภายในลึกๆ หากเราเป็นเช่นนั้นแล้ว เราจะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากสิ่งที่เราทุ่มเทออกไป ผู้รับใช้พระเจ้าอย่ารักษาอีโก้ไว้ในตัวเองมากเกินไป
7. มีความเชื่ออย่างพระเจ้า เรามักจะพยายามสร้างความเชื่อด้วยตัวเองขึ้นมา จึงทำให้ความเชื่อของเราไปไม่ยาวไกล มีขีดจำกัด ไม่สามารถไปตามที่เราฝันไว้ เพราะเราพยายามปั้นความฝันขึ้นมากันเอง ผู้นำสายพันธุ์ใหม่ มุ่งที่จะเสาะหาการมีความเชื่อตามอย่างพระเจ้า ความเชื่ออย่างพระเจ้า เป็นความเชื่อที่สามารถเคลื่อนภูเขาไปสู่ทะเลได้ ความเชื่ออย่างพระเจ้าสามารถแยกน้ำทะเลแดงออกจากกันเพื่อให้ชาวยิวกว่า 3 ล้านคนเดินผ่านได้ ความเชื่ออย่างพระเจ้าคือสามารถสั่งห้ามลมพายุใหญ่ให้สงบลงได้ แต่หลายครั้งที่ผู้นำมักจะถูกสมาชิกบ่นว่าต่างๆนาๆ ว่าไม่มีฤทธิ์เดช คำเทศนาที่ไม่ฤทธิ์เดช คำอธิษฐานที่แห้งๆ ขาดพลังบ้าง ถ้าจะกระตุ้นให้เป้าหมายสำเร็จ ผู้นำจะต้องมีความเชื่อ และผู้นำต้องขอความเชื่อจากพระเจ้าเป็นส่วนตัว งานของมนุษย์เราสามารถบริหารงานไปด้วยมันสมอง และวิธีการใหม่ๆ แต่งานของพระเจ้าเป็นงานสูง การที่จะพบความสำเร็จได้จะต้องอาศัยความเชื่ออย่างพระเจ้า ผู้นำที่ปราศจากความเชื่อก็เหมือนกับขวานทื้อๆ ทำงานบริหารองค์กร ทำให้องค์กรเสียประโยชน์เสียมากกว่า นำภาระหนักมาสู่คริสตจักรเปล่าๆ ทำงานของพระเจ้าเป็นผู้นำใจเสาะไม่ได้ จะต้องเปี่ยมด้วยพลังแห่งความเชื่อ
8. มีการปรับคนในองค์กรอยู่เสมอ รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยมักจะมีการปรับคณะ ครม.สม่ำเสมอ หากเห็นว่าบุคลกรทำงานไม่เวิรด์ เท่าที่ควรจะเป็น ซึ่งทุกฝ่ายต่างก็ต้องยอมรับความจริงๆ เช่นเดียวกันหน่วยงานองค์กรคริสเตียน ก็ต้องมีการพิจารณาตนเองว่าทำงานนั้นๆก้าวไปได้ดีเป็นที่พอใจหรือไม่ ไม่ใช่ว่าได้ก้าวขาขึ้นเก้าอี้แล้วจะไม่มีคำว่าก้าวขาลง รักษาการตำแหน่งอยู่อย่างนั้นตลอดปีตลอดชาติ ทำให้คริสตจักรไทยเติบโตได้ไม่เต็มลูกสูบ ไม่หนำใจยังพยายามสร้างรั้วป้องกันตำแหน่งของตนเองอีกต่างหาก ผู้นำสายพันธ์ใหม่จะไม่ยึดติดกับคำว่าตำแหน่ง แต่จะพิจารณาดูว่าตนเองมีกิ๊ฟท์ในด้านไหน ของประทานได้มาไม่เหมือนกัน หรอก พระเจ้าทรงวางเราไว้ในพระกายที่ต่างกัน แต่ก็เพื่อสนองด้วยวัตถุประสงค์เดียวกันในพระคริสต์ ผู้นำองค์กรสายพันธุ์ใหม่จะไม่ยอมรับการเป็นกรรมการที่นั่นที่นี่ จนเวลาที่จะทำพันธกิจในท้องถิ่นไม่มี แต่เราจะออกไปทุ่มเทจิตวิญญาณลงเพื่อคริสตจักรท้องถิ่น ด้วยหัวใจผู้รับใช้พระเจ้าอย่างแท้จริง องค์กรต่างๆจะต้องไม่ควบคุมนิมิตของผู้นำแต่ละคน และผู้แต่ละคนก็ต้องเปิดใจกว้างที่จะให้โอกาสแก่คนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานแทนตนเองบ้าง
**บทเรียน วันที่มิเรียมเจาะยางโมเสส **
กดว12: 1 มิเรียมและอาโรนได้พูดติโมเสส เหตุหญิงคนคูชที่ท่านได้แต่งงานด้วย เพราะโมเสสได้แต่งงานกับหญิงคนคูชคนหนึ่ง 2 เขาทั้งสองกล่าวว่า "พระเจ้าตรัสทางโมเสสคนเดียวเท่านั้นจริงหรือ พระองค์ไม่ตรัสทางเราบ้างหรือ" พระเจ้าทรงได้ยิน 3 โมเสสเป็นคนถ่อมใจมากยิ่งกว่าคนทั้งปวงที่พื้นแผ่นดิน 4 ทันใดนั้นพระเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนกับมิเรียมว่า "เจ้าทั้งสามจงออกมาที่เต็นท์นัดพบ" เขาทั้งสามก็ออกมา 5 พระเจ้าก็เสด็จลงมาในเสาเมฆ ประทับยืนที่ประตูเต็นท์ ทรงเรียกอาโรนและมิเรียม เขาทั้งสองก็มาข้างหน้า 6 พระองค์ตรัสว่า "จงฟังถ้อยคำของเรา ถ้าจะมีผู้เผยพระวจนะท่ามกลางเจ้าทั้งหลาย เราพระเจ้าจะสำแดงตัวแก่ผู้นั้นเป็นนิมิต เราจะพูดกับเขาทางฝัน
7 สำหรับโมเสสผู้รับใช้ของเราก็ไม่เป็นเช่นนั้น ในประชาชนของเราเขาสัตย์ซื่อ*
8 เราพูดกับเขาปากต่อปากอย่างชัดเจนไม่พูดเร้นลับ และเขาเห็นสัณฐานของพระเจ้า ไฉนเจ้าไม่กลัวที่จะพูดติโมเสสผู้รับใช้ของเรา"
9 พระเจ้าทรงกริ้วเขามาก แล้วเสด็จไปเสีย
10 เมื่อเมฆลอยพ้นเต็นท์ไป ดูเถิด มิเรียมก็เป็นโรคเรื้อนขาวดุจหิมะ อาโรนหันไปดูมิเรียม และดูเถิด นางเป็นโรคเรื้อน 11 และอาโรนพูดกับโมเสสว่า "ข้าแต่เจ้านายของข้าพเจ้า ขออย่าลงโทษแก่เราทั้งสองที่ได้กระทำความเขลาและบาปเช่นนี้ 12 ขออย่าให้มิเรียมเป็นเหมือนคนที่ตายแล้ว ดุจคนที่คลอดจากครรภ์มารดามีเนื้อกุดไปครึ่งหนึ่ง" 13 และโมเสสได้ร้องทูลพระเจ้าว่า "ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์ทรงรักษานาง ข้าพระองค์ทูลวิงวอนต่อพระองค์" 14 แต่พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "ถ้าพ่อของนางถ่มน้ำลายรดหน้านาง นางจะละอายอยู่เจ็ดวันมิใช่หรือ จงกักนางไว้นอกค่ายเจ็ดวัน* ภายหลังจึงให้กลับเข้ามาได้" 15 ดังนั้นมิเรียมจึงถูกกักอยู่นอกค่ายเจ็ดวัน และประชาชนก็มิได้ยกเดินไปจนกว่ามิเรียมกลับเข้ามาอีก 16 แล้วประชาชนก็ยกเดินจากตำบลฮาเซโรท ไปตั้งค่ายอยู่ที่ถิ่นทุรกันดารปาราน
**ผู้นำต้องมีมีชีวิตอย่างโมเสส**
เป็นคนที่ถ่อมใจ และนิ่งจริงๆ ไม่หวั่นไหวไม่ต่อสู้ ไม่แก้ตัวประการใด ท่ามกลางแรงกดดันที่ยากลำบากที่สุดในชีวิต ไม่มีช่วงใดที่เลวร้ายและยากเย็นเท่ากับเวลานี้แล้ว พี่สาวที่เคยช่วยชีวิตของเขาไว้ พี่ชายคืออาโรนที่พระเจ้าเลือกให้มาเป็นเพื่อนร่วมทางรับใช้ในขณะที่โมเสสกำลังกลัวไม่มั่นใจที่จะถวายตัวรับใช้พระเจ้า นำอิสราเอลออกจากการเป็นทาสในอียีปต์ โมเสสจะทำอย่างไรเพราะนั่นก็พี่สาว นี่ก็พี่ชาย และเขาต้องเผชิญหน้ากับปัญหาในครอบครัวของเขาเอง เมื่อประชาชนของพระเจ้ามีปัญหา โมเสสเขายังสามารถเข้าไปเพื่อไกล่เกลี่ยและเคลียร์ปัญหาให้ได้หมด แต่นี่พี่น้องญาติของโมเสสมีปัญหากันเสียเอง ใครจะช่วยแก้ไขให้โมเสส บางทีโมเสสก็อาจจะอับอายที่ตัวเองและครอบครัวกลายเป็นตัวอย่างที่ใช้ไม่ได้ในสายตาของประชาชน โมเสสไม่สนใจว่าคนอื่นจะวิพากหรือตัดสินอะไรอย่างไร แต่สำหรับพระเจ้าพระองค์มองดูชีวิตของโมเสสว่าเขาเป็นคนสัตย์ซื่อ ใช้การได้ พระเจ้าไม่ได้ปิดบังอะไรจากโมเสส โมเสสได้ใจพระเจ้า เขายังเป็นตัวอย่างของการให้อภัยอีกต่างหาก หลายๆครั้งที่เราเป็นผู้นำเราจะพบคนที่แบ่งฝ่าย เลือกข้างและไม่เป็นฝ่ายเราเลย การพูดจาและการแสดงออกเห็นชัดเจนว่าเขาไม่ได้สนับสนุนเราอย่างแท้จริง เราจะทำอย่างไรล่ะ ผมคิดว่าหลายคนจะซึมไปเลย และแทบไม่เหลือแรงกำลังอยู่เลย บางทีคุณอาจจะร้องไห้และสับสนในจิตใจว่า คุณจะไปทำงานที่ไหนอีกต่อไป ครอบครัวจะทำอย่างไรกับการเปลี่ยนแปลงนี้ บางทีคุณก็น้อยใจเสียใจว่าที่ผ่านมานั้น มีแต่รับใช้ๆ และรับใช้ไม่ได้หาเงินทอง ไม่ได้สะสมเงินทองไว้บ้างเลย ชีวิตแหวนไว้กับคริสตจักร และพระเจ้า ผมคิดว่าบางคนอาจจะถึงกับไล่ค้นหาเบอร์โทรเพื่อหาที่ทำงานใหม่ๆ เพราะทนต่อการต่อต้านและการขัดขวางไม่ไหว โมเสสปล่อยให้พระเจ้าจัดการในเรื่องนี้ เรื่องบางเรื่องในฐานะผู้นำนะยากลำบากใจนะครับ คุณไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้โดยเฉพาะเรื่องนี้ เมื่อมีคนไม่สบายใจกับผู้นำ คุณจะไปแก้ตัวอย่างไร คุณเองก็ต้องเทศนาให้ทุกๆคนฟัง คุณจะต้องเก็บอารมณ์ไว้ให้ดีกว่าตอนที่ไม่เกิดเรื่องราวอะไรด้วยซ้ำไป เรื่องบางเรื่องที่เราไม่สามารถแก้ไขได้ ให้ปล่อยวางให้พระเจ้าจัดการเองดีกว่า ไม่ได้หมายถึงว่าปล่อยปัญหาดองไว้จนอิ่มตัว ถ้าคุณยังมีความเชื่อว่าพระเจ้าคือเจ้าของคริสตจักรพระองค์ไถ่คริสตจักร พระองค์ทรงเรียกคุณมาทำงานตรงนี้ คุณจะสามารถมั่นใจว่าพระองค์นั้นจะดูแล และเข้ามาแทรกแซงในเรื่องนี้แน่นอน ทางที่ดีคุณปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพระองค์ดีกว่าเหมาะสมกว่า ปัญหาที่มิเรียมและอาโรนไม่พอใจโมเสสปัญหาไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเป็นเรื่องครอบครัว เรื่องภรรยา เป็นเรื่องการยอมรับชีวิตโมเสสมากขึ้น จึงทำให้เกิดความอิจฉาตาร้อน บวกกับว่าคนยิวบางพวกไม่อยากจะเดินทางต่อไปโดยการนำของโมเสส เขาอยากกลับไปอียีปต์ใช้ชีวิตแบบเดิมๆ พวกเขาจึงหาเรื่องเข้าทางอาโรนและมีเรียม คนที่สำคัญต่อโมเสส คนที่มีบุญคุณต่อโมเสสคนที่มีอิทธิพลเพียงพอที่จะทำให้โมเสสเหนื่อยหน่ายและท้อใจถึงขั้นอยากจะตาย เช่นเดียวกับการเป็นผู้นำของคุณ บางทีคนเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นที่ไม่ชอบคุณ และเขาอยากจะโค่นล้มคุณ เขาอยากเอาชนะคุณชนิดที่ว่าไม่ได้เล่ห์ก็เอาด้วยกลเลยที่เดียว พวกเขาเหล่านั้นมีวิญญาณแห่งการแตกแยก และสร้างปัญหาเกิดขึ้นโดยใช้คนที่เขาสามารถใช้เป็นเครื่องมือได้เช่น กรรมการคริสตจักร หัวหน้าฝ่ายต่างๆ คนเก่าคนแก่ คนที่มีเสียงในหน่วยงานนั้นๆ มุ้งเล็กมุ้งน้อยจะเกิดขึ้นตามมาคุณเลี่ยงไม่ได้หรอกที่จะมีมุ้งเล็กมุ้งน้อยเกิดขึ้น มาถึงจุดนี้คุณต้องนิ่งเท่านั้นเอง มีหลายคนที่แสดงออกเป็นขั้วๆ ทำให้เกิดความวุ่นวาย และสร้างกระแสต่อต้านคุณทุกรูปแบบ พวกเขาจะโจมตีคุณชนิดที่ว่าไม่ยั้งมือเลยก็ว่าได้ คุณต้องเข้าหาพระเจ้าเท่านั้นเอง คุณอย่าได้เล่าเรื่องที่คุณหนักอกหนักใจให้เด็กๆ หรือคนบางคนที่แกล้งอยากเข้ามารับรู้เรื่องนี้ ทำทีว่าหวังดีแต่เขาประสงค์ร้ายชัดๆ เป็นตัวการที่ทำให้เรื่องไม่จบง่ายๆ ยิ่งยุคนี้เป็นยุคไอทีการติดต่อสื่อสารไวเพียงครู่ใหญ่สิ่งที่คุณเล่าให้ใครฟังจะไปถึงฝ่ายตรงข้าม และมันจะกลับมาถึงคุณเอง นิ่งไว้ก่อนดีที่สุดและอธิษฐานดูว่าในสถานการณ์เช่นนี้ยังมีใครที่เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณที่พอจะปรึกษาเขาได้บ้าง พระเจ้าไม่เข้าข้างคนชั่วสุดท้ายเรื่องของมิเรียมก็บอาโรนสอนเราว่า พระเจ้าไม่เข้าข้างคนชั่ว คนที่ชอบสร้างปัญหาตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ พระเจ้าไม่ใช่คนโง่เขลาที่จะไม่รู้อะไร แต่พระองค์ทรงชันสูตรไปถึงจิตใจภายในของแต่ละคน หน้าที่ของเราคือให้ใจบริสุทธิ์ มีสิ่งใดที่เราต้องแก้ไขกับพระเจ้าสำคัญมากๆ ใครจะว่าอะไรไม่สำคัญเท่ากับว่าพระเจ้าว่าอย่างไรในเรื่องนั้น คุณไม่ต้องสนใจว่ามนุษย์ หรือสมาชิกบางคนเลือกฟาก ไม่อยู่เคียงข้างคุณ แต่คุณต้องอยู่ฟากพระเจ้าให้มากที่สุด ดำเนินชีวิตในความจริง ความจริงจะให้คุณเป็นอิสระเป็นไทย ไม่มีอะไรทำร้ายคุณได้ แม้ว่าจะเผชิญกับเรื่องราวอะไรมากมาย คุณจะผ่านได้โดยพระเจ้า เช่นเดียวกับเปาโลเขาพบความจริงว่า โดยพระเจ้าเขาผจญทุกอย่างได้ วันนี้คุณก็จะผ่านปัญหาต่างๆได้โดยพระเจ้าเท่านั้น เช็ดน้ำตาของคุณเสียแล้วเดินก้าวไปอย่างมั่นใจ ขอเพียงคุณดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง และเสมอต้นเสมอปลาอยู่กับพระเจ้า อย่ามีวาระซ่อนเร้นต่อพระเจ้า เพราะถ้าคุณเองบกพร่องและทำผิดพลาดพระเจ้าก็ไม่ไว้คุณเหมือนกัน พระเจ้าทรงลงโทษมิเรียมทำให้เธอหมดสง่าราศี และต้องปลีกตัวแยกตัวออกจากประชาชน แม้ว่าตอนแรกๆเขาจะพยายามแยกฝูงชนออกจากโมเสส เพื่อนำมาเป็นของเขาเสียเอง ให้ทุกคนสงสารเขา หรือเห็นเขาเป็นสตรีตัวอย่าง เป็นคนน่ายกย่อง แต่มือของเธอไม่สอาดพระเจ้ารู้แต่ไม่เป็นใจมิเรียม พระเจ้าลงโทษเธอให้หมดสง่าราศี หมดสันติสุข และอับอาย มีโรคภัยเกิดขึ้นและต้องถูกแยกตัวออกไปเป็นชีวิตที่น่าเกลียดน่าชัง สังคมดูหมิ่นวิพากวิจารณ์ แม้ตอนแรกมิเรียมเคยนั่งวงวิพากวิจารณ์โมเสสในหลายๆด้านของการเป็นผู้นำ เขาลืมไปว่าโมเสสเป็นคนของใคร ใครเลือกสรรเขา ใครแต่งตั้งเขา ใครที่เรียกเขาให้มาทำงานใหญ่เช่นนั้น เช่นเดียวกันบางคนที่ชอบสร้างปัญหา นิสัยใจคอพยองเขาคิดว่าตัวของเขาเก่ง และมีอะไรดีบางทีก็หลงตัวเองคิดว่าตัวเองมีอะไรๆที่ดีกว่าผู้นำ เขาเลยมองผิดไป คุณสำคัญที่ว่าคุณยังมั่นใจอยู่ไหมว่าพระเจ้าทรงนำพาคุณให้มาทำงานของพระองค์ที่นี่ ร้อยทั้งร้อยหลายคนที่เจอปัญหใหญ่มักจะสงสัยถามว่า พระเจ้าเป็นน้ำพระทัยพระเจ้าไหมเนี้ย หากพระองค์นำพาแล้วใยจึงเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น ประเด็นคือว่าคุณอย่าเป็นทุกข์ร้อนใจไปก่อน อย่าเดือดก่อนต้มน้ำ อย่าตอบก่อนถาม อย่าลามก่อนไหม้ ทำตัวเป็นพระเอกไว้ได้เลยโมเสสไม่หวั่นไหวประการใด เขาดูแล้วนิ่งมากๆ เหมือนไม่ใช่คนดูเหมือนเป็นเทวดา เป็นอย่างไรถ้าโมเสสเถียงพี่สาวและพี่ชาย แม้ว่าเขาสามารถและในฐานะเป็นผู้นำชาวอสราเอลโมเสสสามารถทำได้ เขาสามารถจัดการกับเรื่องนี้ได้ง่ายๆ โมเสสมีคนมากมายที่จงรักภักดี แต่ทำไมโมเสสยังนิ่งอยู่ เขาทำตัวประมาณว่าตัวเขาเป็นศรราม หรือเป็นสมบัติเมทะนีพระเอกรุ่นเก่า ยอมเป็นเบี้ยยอมเป็นผู้ถูกกระทำ และสุดท้ายพระเจ้าก็เข้ามาแก้ไขให้เขา และเขาก็ยังได้วิงวอนขอพระเจ้ายกโทษมิเรียม น้ำใจเช่นนี้หาได้ยากในฐานะการเป็นผู้นำ การไม่จองเวรเป็นเรื่องสำคัญ ผู้นำต้องมีจิตวิญญาณที่สูงกว่า เราต้องเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่ไล่เช็คบิลภายหลัง นั่นเป็นนิสัยนักการเมืองปัจจุบัน พระราชกิจของพระเจ้าไม่ทำอย่างนักการเมือง เมื่อใครก็ตามทำผิดต่อเรา หากพระเจ้าตัดสินแล้ว เราก็อภัยให้ซึ่งกันและกัน ลืมเสียเถิดวันที่เลวร้าย เม้าส์มาเสียตั้งนาน ขอให้บทความข้อเขียนเรื่องนี้เป็นคำหนุนใจให้ข้อคิดกับผู้อ่านทุกท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพี่น้อง หรือผู้นำที่กำลังเผชิญกับช่วงเลาที่ยากเช่นเดียวกับโมเสส ผมก็กำลังเรียนรู้กับเรื่องเหล่านี้อยู่ทุกๆวัน เราจะผ่านพ้นปัญหาต่างๆได้โดยพระเจ้า เรากำลังรับใช้พระองค์อยู่เราข้าราชการของพระเจ้า ขอเพียงเราทำดี เดินในทางถูกต้องพระเจ้าคุ้มครองไว้เชื่อเถิด ขอพระเจ้าโปรดนำการชูใจมายังพี่น้องทุกท่าน ......อาเมน.
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น