แค้นนี้ต้องอภัย
ความแค้นเป็นอารมณ์ครุกรุ่นอยู่ภายในเหมือนมีไฟที่มาสุ่มหัวอก เป็นอารมณ์แห่งความเกลียด ความขมขื่น เจ็บปวด ที่เกิดจากความเข้าใจว่าตนถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรมทั้งร่างกายและจิตใจ และพร้อมที่จะตอบโต้ให้สาสมกับความแค้นภายใน ผมได้ยินคำพูดจากผู้นิยมหนังจีนบ่อยๆ ว่า “บุญคุณต้องตอบแทน แค้นนี้ต้องชำระ” ผมเห็นด้วยกับคำว่า “บุญคุณต้องตอบแทน” แต่ไม่เห็นด้วยกับคำว่า “แค้นนี้ต้องชำระ” แต่ขอให้เปลี่ยนเป็น “แค้นนี้ต้องให้อภัย” แทน ถึงแม้ว่าผมจะไม่เห็นด้วยกับการแก้แค้น แต่ถึงกระนั้นผมรู้สึกเห็นใจ บุคคลต่างๆ เหล่านั้นที่ถูกกระทำทารุณกรรมจากบางคนที่ขาดมนุษยธรรม ขาดเมตตาจิต หรือถูกโกง ถูกเอารัดเอาเปรียบโดยไม่มีทางต่อสู้ ผมเข้าใจในความเจ็บปวด ในขณะเดียวกันผมก็พบว่ามีหลายคนที่มีความเคียดแค้นและรู้สึกอยากล้างแค้นบางคนบนพื้นฐานที่เข้าใจผิด ได้ข้อมูลผิดๆ และเชื่อในข้อมูลผิดๆ นั้นโดยไม่ได้มีการศึกษาข้อมูลเฉพาะอย่างยิ่งกับบุคคลที่เราเคารพและสนิทสนม ฉะนั้นก่อนลงมือระบายความแค้นไม่ว่าจะด้วยวาจาหรือการกระทำ ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลัง คนเราต้องมี สติ ยั้งคิด พร้อมถามตัวเองว่า การล้างแค้นหรือแก้แค้นที่จะกระทำอะไรตอบแทน ผลที่ได้จะคุ้มเสียหรือไม่ มันสามารถแก้ปัญหาได้จริงๆ หรือเปล่า บุคคลที่เราแก้แค้นเขามีส่วนรู้เห็นกับเรื่องที่เราแค้นจริงๆ หรือเปล่า เรามีทางอื่นที่สามารถแก้ปมสลายความแค้นในทางสร้างสรรค์ได้ไหม ? ผมรู้จักบางคนไม่เพียงเก็บความแค้นไว้กับตัวเท่านั้น เขายังถ่ายทอดมรดกความแค้นไปยังลูกหลานสืบทอดต่อไปด้วย ผลกระทบจากการแก้แค้นหรือล้างแค้นกันนำความเสียหายมาให้แก่กันและกันโดยไม่อาจประเมินได้ แต่ผลที่ได้รับชั่วขณะจิตคือ สะใจ และผลระยะยาวคือความสูญเสียและเสียใจอันยาวนาน มีข้อพระคัมภีร์ในพระธรรมสุภาษิตสอนเราว่า เราควรระวังใจเราอย่างไรเมื่อมีบุคคลปฏิบัติไม่ดีต่อเรา “อย่าพูดว่า ข้าจะแก้แค้นเจ้าสำหรับความผิดครั้งนี้ จงรอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระองค์จะแก้แค้นแทนเจ้า” สุภาษิต 20:22 “อย่าพูดว่า ตอนนี้เป็นทีของเราแล้วจะได้แก้แค้นสิ่งที่เขาทำกับเราไว้” สุภาษิต 24:29 นอกจากนี้คริสตชนได้น้อมรับคำสอนและแบบอย่างของชีวิตพระคริสต์มาเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตที่ไม่ให้มีการล้างแค้นกันโดยมีคำสอนว่า“อย่าทำชั่วตอบแทนการชั่ว จงใส่ใจที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของทุกคน ถ้าเป็นได้เท่าที่เรื่องขึ้นอยู่กับท่าน จงอยู่ร่วมกับทุกคนอย่างสงบสุข เพื่อนเอ๋ยอย่าแก้แค้น แต่จงปล่อยให้พระเจ้าสำแดงพระพิโรธ เพราะมีคำเขียนไว้ว่า “การแก้แค้นเป็นหน้าที่ของเราเอง เราจะคืนสนอง” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ อย่าแก้แค้นเลย ตรงกันข้าม “หากศัตรูของท่านหิว จงให้อาหารแก่เขา เมื่อเขากระหายจงให้เขาดื่ม การทำเช่นนี้ ท่านจะสุมถ่านที่ลุกโพลงไว้บนศีรษะของเขา” อย่าพ่ายแพ้แก่ความชั่ว แต่จงชนะความชั่วด้วยความดี” โรม 12:17-21“อย่าทำชั่วตอบแทนการชั่ว อย่าด่าว่าผู้ที่ด่าว่าท่าน แต่จงให้พรเขาแทน เพราะพระเจ้าได้ทรงเรียกท่านให้ทำเช่นนี้เพื่อท่านจะรับพรเป็นมรดก” 1 เปโตร 3:9 เหตุที่พระเจ้าให้เรามอบการล้างแค้นกับพระองค์เพราะพระเจ้าทราบดีว่ามนุษย์มีความจำกัดเรื่องความอดกลั้น การควบคุมตัวเอง ความรู้ ความยุติธรรม และความชอบธรรม พระองค์มีทางที่ดีกว่าที่จะทำให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกันในที่สุด พระเจ้าทราบวิธีที่จะเปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นมิตร พระเจ้าสามารถเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นสิ่งดี หน้าที่ของเราคือ แค้นนี้ต้องให้อภัย แล้วใจจะมีความสงบสุข พระเจ้าจะนำพาและให้สติปัญญาให้มีทางออกด้วยหลักนิติธรรม คุณธรรม และชอบธรรม ในเวลาของพระองค์ จงสงบนิ่งและเราจะเห็นความช่วยเหลือที่มาจากพระเจ้า
วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2551
สิ่งที่แน่นอน
ชายสุขภาพไม่ดีคนหนึ่งตัดสินใจที่ย้ายไปอยู่ในที่อากาศอบอุ่น และเพื่อให้แน่ใจว่าจะได้ได้ที่ทางถูกต้องเขาจึงไปแวะดูหลายที่ เมื่ออยู่ในรัฐอาริโซนาเขาก็ถามคนที่นั่นว่า ที่นี่อุณหภูมิเฉลี่ยเท่าไหร่ แล้วความชื้นล่ะ มีแดดออกกี่วัน เขาก็ได้รับคำตอบว่า ก็เหมือน ๆ กับที่ที่คุณมานั่นแหละ เกิดหนึ่งก็ตายหนึ่งเท่านั้น
แม้วิวัฒนาการทางการแพทย์จะทำให้คนมีอายุยืนขึ้น แตอัตราการตายก็ยังคงเหมือนเดิม " มีข้อกำหนดสำหรับมนุษย์ไว้แล้วว่าจะตายครั้งเดียว" (ฮบ. 9:27) เพราะว่า " ทุกคนทำบาป" (รม. 3:23) และ " ค่าจ้างของความบาปก็คือความตาย" ( 6: 23 )
ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องดำเนินชีวิตที่ถูกต้องว่า หลังชีวิตคือความตาย และหลังความตายคือการพิพากษา และทุกคนที่เชื่อในพระคริสต์เพื่อรับความรอดและจะออกมาจากหลุมฝังศพและ " ฟื้นขึ้นสู่ชีวิต" แต่คนที่ปฎิเสพระองค์จะ " ฟื้นสู่การพิพากษา" (ยน. 5:29 ) สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อ ความตายคือตราประทับสู่ความพินาศ แสหรับผู้เชื่อ ความตายคือหนทางไปส่ศักดิ์ศรี
บุคคลที่ยอมรับความจริงว่าไม่มีใครหนีความตายพ้นคือคนฉลาด แต่คนที่เตรียมพร้อมสำหรับความตายก็ฉลาดยิ่งกว่า
แม้วิวัฒนาการทางการแพทย์จะทำให้คนมีอายุยืนขึ้น แตอัตราการตายก็ยังคงเหมือนเดิม " มีข้อกำหนดสำหรับมนุษย์ไว้แล้วว่าจะตายครั้งเดียว" (ฮบ. 9:27) เพราะว่า " ทุกคนทำบาป" (รม. 3:23) และ " ค่าจ้างของความบาปก็คือความตาย" ( 6: 23 )
ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องดำเนินชีวิตที่ถูกต้องว่า หลังชีวิตคือความตาย และหลังความตายคือการพิพากษา และทุกคนที่เชื่อในพระคริสต์เพื่อรับความรอดและจะออกมาจากหลุมฝังศพและ " ฟื้นขึ้นสู่ชีวิต" แต่คนที่ปฎิเสพระองค์จะ " ฟื้นสู่การพิพากษา" (ยน. 5:29 ) สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อ ความตายคือตราประทับสู่ความพินาศ แสหรับผู้เชื่อ ความตายคือหนทางไปส่ศักดิ์ศรี
บุคคลที่ยอมรับความจริงว่าไม่มีใครหนีความตายพ้นคือคนฉลาด แต่คนที่เตรียมพร้อมสำหรับความตายก็ฉลาดยิ่งกว่า
ชาวนากับต้นแอปเปิ้ล
คราวหนึ่งชาวนายากจนมีสหายคนหนึ่ง มีชื่อเสียงในการปลูกต้นแอปเปิ้ลได้อย่างอัศจรรย์ เขาดีใจมากที่ได้รับต้นแอปเปิ้ลจากสหายผู้นั้นไปปลูก ดุจได้รับของขวัญอันยิ่งใหญ่ ครั้นเอาไปถึงที่บ้านเขาตัดสินใจไม่ได้ว่าจะปลูกต้นแอปเปิ้ลนั้นไว้ที่ไหนดี ถ้าปลูกไว้ใกล้ถนนก็เกรงว่าต้นแอปเปิ้ลจะถูกขโมย ถ้าปลูกไว้ในไร่ก็เกรงว่าเพื่อนบ้านอาจขโมยในเวลากลางคืน ถ้าปลูกไว้ในบ้านของตนเกรงว่าเด็ก ๆ จะมาเด็ดผลเอาไปเล่นตอนยังไม่แก่
ในที่สุดเขาปลูกต้นแอปเปิ้ลไว้ในป่าลึกเร้นลับจนไม่มีใครรู้ใครเห็น แต่เนื่องจากต้นไม้นั้นไม่ได้รับแสงแดดและดินดี ไม่ช้ามันก็ตายไปตามธรรมชาติ ต่อมาเมื่อพบกับเพื่อน เพื่อนถามว่าทำไมถึงปลูกไว้ในที่ซึ่งไม่ได้เรื่องอย่างนั้น " ถ้าปลูกไว้ใกล้ถนน คนแปลกหน้าจะโขมยลูก ถ้าปลูกไว้ในไร่เพื่อนบ้านจะมาขโมยตอนกลางคืน ถ้าปลูกใกล้บ้าน พวกลูก ๆ จะมาเอาผลไปหมด " ใช่แล้ว" เพื่อนตอบ แต่อย่างน้อยก็ยังมีคนได้ประโยชน์บ้าง แต่ตอนนี้เพื่อนได้ขโมยผลไม้นั้นจากทุก ๆ คน และทำลายต้นไม้ที่ดีไปต้นหนึ่ง ด้วยความโง่เขลาของเพื่อนเองแท้ ๆ
ในที่สุดเขาปลูกต้นแอปเปิ้ลไว้ในป่าลึกเร้นลับจนไม่มีใครรู้ใครเห็น แต่เนื่องจากต้นไม้นั้นไม่ได้รับแสงแดดและดินดี ไม่ช้ามันก็ตายไปตามธรรมชาติ ต่อมาเมื่อพบกับเพื่อน เพื่อนถามว่าทำไมถึงปลูกไว้ในที่ซึ่งไม่ได้เรื่องอย่างนั้น " ถ้าปลูกไว้ใกล้ถนน คนแปลกหน้าจะโขมยลูก ถ้าปลูกไว้ในไร่เพื่อนบ้านจะมาขโมยตอนกลางคืน ถ้าปลูกใกล้บ้าน พวกลูก ๆ จะมาเอาผลไปหมด " ใช่แล้ว" เพื่อนตอบ แต่อย่างน้อยก็ยังมีคนได้ประโยชน์บ้าง แต่ตอนนี้เพื่อนได้ขโมยผลไม้นั้นจากทุก ๆ คน และทำลายต้นไม้ที่ดีไปต้นหนึ่ง ด้วยความโง่เขลาของเพื่อนเองแท้ ๆ
ภาวะความเครียด
ภาวะความเครียด
สังคมมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นชาติใดภาษาใดกำลังเผชิญกับภาวะความเครียด และกำลังศึกษาอย่างจริงจังว่าจะมีระบบการจัดการกับความเครียดที่ได้ผลที่สุดคืออะไร ปกติแล้วความเครียดระดับหนึ่งให้ประโยชน์ กล่าวคือการค่อยๆ เพิ่มความเครียดช่วยให้มีผลทางปฏิบัติงาน มีบางคนที่ทำงานได้ดีภายใต้ความกดดัน บุคคลที่มีความยืดหยุ่นและสามารถควบคุมความเครียดจะผลักดันให้คนนั้นหยุดนิ่งไม่ได้ แต่ถ้าการบริหารจัดการความเครียดล้มเหลว ความเครียดจะกลายเป็นภัยร้ายแรงและน่ากลัว มีคนเปรียบความเครียดในคนเหมือนกับการเติมลมยางรถยนต์ ถ้าเราเติมพอดีรถก็จะวิ่งฉิววิ่งเรียบ แต่ถ้าเติมลมน้อยยางแบนรถแล่นไปทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าลงหลุมเล็กหลุมน้อยไปตลอดทางและจะเลี้ยวก็ดูจะฝืดและแข็ง แต่ถ้าเติมเต็มมากเกินไปรถจะแล่นไม่เรียบกระโดดกระเด้งตลอดเวลาและยากต่อการควบคุมแฉลบออกนอกทางง่าย คนเราก็เช่นกันถ้าไม่มีความกดดันอะไรเลยก็จะกลายเป็นคนเฉื่อยไม่ยอมทำอะไร เขาเป็นคนไม่มีเป้าหมายอะไร ถึงก็ชังไม่ถึงก็ชัง จะทำหรือไม่ทำก็ไม่มีใครว่า สอบได้สอบตกก็ได้ขึ้นชั้น ทำดีก็ได้ไม่ต้องทำก็ได้ถึงปีก็ได้เลื่อนขั้น ดังที่เขาพูดกันว่าความชั่วไม่มีความดีไม่ปรากฏเลื่อนหนึ่งขั้น ในเวลาเดียวกันถ้าเติมความเครียดจนเกินไปอยู่กับความเครียดนานๆ ก็จะเกิดอันตรายต่อชีวิต ฉะนั้นการบริหารจัดการความเครียดอย่างมีเหตุมีผล ถูกหลักการ จะทำให้ชีวิตโลดแล่นไปสู่จุดหมายปลายทางอย่างภาคภูมิใจความเครียดเกิดขึ้นอย่างไร ภาวะความเครียดมีที่มา 2 แหล่ง แหล่งแรกเกิดจากผลกระทบที่เกิดขึ้นภายนอก ส่วนแหล่งที่สองเกิดจากผลกระทบภายใน ผลกระทบจากภายนอกได้แก่การแบกภาระหน้าที่การงานหนักนานเกินไป ภาระดูแลครอบครัวเฉพาะอย่างยิ่งความต้องการที่ลูกๆ เรียกร้องเกินกว่าที่จะแบกได้หรือไม่ก็ข้อเรียกร้องของพ่อแม่ต้องการจากลูกมากเกินไป หรือไปเป็นหนี้เป็นสินจำนองบ้านที่ดินกำลังจะถูกริบ ทั้งหมดนี้เป็นความกดดันจากปัญหาภายนอกที่สร้างความเครียดแก่เรา ส่วนผลกระทบจากภายในคือปฏิกิริยาต่อสิ่งต่างๆ ที่ได้กล่าวแล้ว ปัญหาร้องขอมีมากมายแต่แหล่งที่จะตอบสนองปัญหาดังกล่าวมีน้อยหรือไม่มี นี่แหละตัวสร้างความกดดันสร้างความเครียดให้กับชีวิตนอกจากเหตุผลดังกล่าวแล้วตัวสร้างความเครียดภายในยังมีความอยากหรือตัณหา อารมณ์ ทัศนคติ ความคาดหวังในความสำเร็จ ความต้องการให้คนอื่นมองดูตนดีและรู้สึกดี ความวิตกกังวล ความอิจฉาริษยา ความแค้นเคือง ความขัดข้องหมองใจ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้สร้างความเครียดทั้งสิ้นเราต้องตระหนักว่า เราเป็นผู้รับผิดชอบการบริหารจัดการความเครียด ความเครียดจะอยู่ระดับใดเราเป็นผู้เลือก ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องมีสติ และ มีปัญญา ความเครียดหลายอย่างเราหลีกเลี่ยงได้ เช่น เป็นคนประหยัด อดออม มีวินัยในการทำงาน มีการวางแผนที่ดี รู้จักประมาณตน รู้จักการวางความสำคัญให้ถูกตำแหน่ง ฯลฯ จงควบคุมและจัดการความเครียดก่อนที่ความเครียดจะมาจัดการเรา
สังคมมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นชาติใดภาษาใดกำลังเผชิญกับภาวะความเครียด และกำลังศึกษาอย่างจริงจังว่าจะมีระบบการจัดการกับความเครียดที่ได้ผลที่สุดคืออะไร ปกติแล้วความเครียดระดับหนึ่งให้ประโยชน์ กล่าวคือการค่อยๆ เพิ่มความเครียดช่วยให้มีผลทางปฏิบัติงาน มีบางคนที่ทำงานได้ดีภายใต้ความกดดัน บุคคลที่มีความยืดหยุ่นและสามารถควบคุมความเครียดจะผลักดันให้คนนั้นหยุดนิ่งไม่ได้ แต่ถ้าการบริหารจัดการความเครียดล้มเหลว ความเครียดจะกลายเป็นภัยร้ายแรงและน่ากลัว มีคนเปรียบความเครียดในคนเหมือนกับการเติมลมยางรถยนต์ ถ้าเราเติมพอดีรถก็จะวิ่งฉิววิ่งเรียบ แต่ถ้าเติมลมน้อยยางแบนรถแล่นไปทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าลงหลุมเล็กหลุมน้อยไปตลอดทางและจะเลี้ยวก็ดูจะฝืดและแข็ง แต่ถ้าเติมเต็มมากเกินไปรถจะแล่นไม่เรียบกระโดดกระเด้งตลอดเวลาและยากต่อการควบคุมแฉลบออกนอกทางง่าย คนเราก็เช่นกันถ้าไม่มีความกดดันอะไรเลยก็จะกลายเป็นคนเฉื่อยไม่ยอมทำอะไร เขาเป็นคนไม่มีเป้าหมายอะไร ถึงก็ชังไม่ถึงก็ชัง จะทำหรือไม่ทำก็ไม่มีใครว่า สอบได้สอบตกก็ได้ขึ้นชั้น ทำดีก็ได้ไม่ต้องทำก็ได้ถึงปีก็ได้เลื่อนขั้น ดังที่เขาพูดกันว่าความชั่วไม่มีความดีไม่ปรากฏเลื่อนหนึ่งขั้น ในเวลาเดียวกันถ้าเติมความเครียดจนเกินไปอยู่กับความเครียดนานๆ ก็จะเกิดอันตรายต่อชีวิต ฉะนั้นการบริหารจัดการความเครียดอย่างมีเหตุมีผล ถูกหลักการ จะทำให้ชีวิตโลดแล่นไปสู่จุดหมายปลายทางอย่างภาคภูมิใจความเครียดเกิดขึ้นอย่างไร ภาวะความเครียดมีที่มา 2 แหล่ง แหล่งแรกเกิดจากผลกระทบที่เกิดขึ้นภายนอก ส่วนแหล่งที่สองเกิดจากผลกระทบภายใน ผลกระทบจากภายนอกได้แก่การแบกภาระหน้าที่การงานหนักนานเกินไป ภาระดูแลครอบครัวเฉพาะอย่างยิ่งความต้องการที่ลูกๆ เรียกร้องเกินกว่าที่จะแบกได้หรือไม่ก็ข้อเรียกร้องของพ่อแม่ต้องการจากลูกมากเกินไป หรือไปเป็นหนี้เป็นสินจำนองบ้านที่ดินกำลังจะถูกริบ ทั้งหมดนี้เป็นความกดดันจากปัญหาภายนอกที่สร้างความเครียดแก่เรา ส่วนผลกระทบจากภายในคือปฏิกิริยาต่อสิ่งต่างๆ ที่ได้กล่าวแล้ว ปัญหาร้องขอมีมากมายแต่แหล่งที่จะตอบสนองปัญหาดังกล่าวมีน้อยหรือไม่มี นี่แหละตัวสร้างความกดดันสร้างความเครียดให้กับชีวิตนอกจากเหตุผลดังกล่าวแล้วตัวสร้างความเครียดภายในยังมีความอยากหรือตัณหา อารมณ์ ทัศนคติ ความคาดหวังในความสำเร็จ ความต้องการให้คนอื่นมองดูตนดีและรู้สึกดี ความวิตกกังวล ความอิจฉาริษยา ความแค้นเคือง ความขัดข้องหมองใจ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้สร้างความเครียดทั้งสิ้นเราต้องตระหนักว่า เราเป็นผู้รับผิดชอบการบริหารจัดการความเครียด ความเครียดจะอยู่ระดับใดเราเป็นผู้เลือก ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องมีสติ และ มีปัญญา ความเครียดหลายอย่างเราหลีกเลี่ยงได้ เช่น เป็นคนประหยัด อดออม มีวินัยในการทำงาน มีการวางแผนที่ดี รู้จักประมาณตน รู้จักการวางความสำคัญให้ถูกตำแหน่ง ฯลฯ จงควบคุมและจัดการความเครียดก่อนที่ความเครียดจะมาจัดการเรา
เอาชนะความโลภ ( 1ทิโมธี 6: 6-19 )
ความโลภ - มันได้โค่นผู้บริหารค่าตัวแพงทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่หล่ม คนงานนับพันตกงานและไม่ได้รับเงินจากกองทุนเกษียณ คอลัมนีสต์คนหนึ่งเขียนไว้ว่า ความโลภในบริษัทที่ควบคุมไม่ได้นั้นเลวร้ายกว่าขบวนการก่อการร้าย ความโลภกระซิบข้างหูว่า เราคงมีความสุขขึ้นถ้ามีเงินมากขึ้น มีข้าวของมากขึ้นและมีอำนาจมากขึ้น มันทำให้เกิดความไม่พอใจและความปรารถนาที่จะทำอะไรก็ได้เพื่อตำแหน่งและทรพย์สิ่งของ แต่พระคัมภีร์สั่งให้เราวางใจพระเจ้า ไม่ใช่ทรัพย์สินที่ไม่เที่ยง ( 1 ทธ. 6:17 ) เปาโลบอกทิโมธีว่า วิธีเอาชนะความโลภก็คือการห่างจากมันและ " มุ่งมั่นความชอบธรรมของพระเจ้า ความเชื่อ ความรักความอดทน และความอ่อนสุภาพ ( 1 ทธ. 6:11) และคนที่มั่งมีฝ่ายโลกซึ่งมีมากกว่าที่จำเป็นควรจะ " กระทำดีมาก ๆ ให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และไม่เห็นแก่ตัว" (ข้อ 17-18 )
ความพอใจและความใจกว้างอยู่ตรงข้ามกับความโลภ ( ข้อ 6-8 ) เมื่อเราขอบคุณพระเจ้าในสิ่งที่มีและแบ่งปันกับผู้อื่น เราก็จะหยุดหาสิ่งของมาเติมเต็มความว่างเปล่าฝ่ายวิญญาณในหัวใจ เมื่เรกพระเยซูมากกว่าเงินและทรัพย์สิน เราก็จะพบว่าพระองค์เป็นมหาสมบัติในชีวิต และการรู้จักพระองค์ คือแหล่งแห่งความอิ่มใจอย่างแท้จริง
ความพอใจและความใจกว้างอยู่ตรงข้ามกับความโลภ ( ข้อ 6-8 ) เมื่อเราขอบคุณพระเจ้าในสิ่งที่มีและแบ่งปันกับผู้อื่น เราก็จะหยุดหาสิ่งของมาเติมเต็มความว่างเปล่าฝ่ายวิญญาณในหัวใจ เมื่เรกพระเยซูมากกว่าเงินและทรัพย์สิน เราก็จะพบว่าพระองค์เป็นมหาสมบัติในชีวิต และการรู้จักพระองค์ คือแหล่งแห่งความอิ่มใจอย่างแท้จริง
คลื่น
คลื่น
แสงจันทร์ที่สาดแสงลงไปบนแผ่นผิวของแม่น้ำหรือทะเลเวลาค่ำคืน สร้างความรู้สึกที่ดีช่วยสร้างจินตนาการและทำให้รู้สึกสงบในจิตใจ ฉะนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยทำไมคนจึงชอบใช้เวลากับบรรยากาศเช่นนี้ แต่เป็นที่น่าเสียดายภาพที่พูดถึงนี้ไม่อาจมีให้ดูตลอดเวลา เพราะมันขึ้นอยู่กับฤดูกาลและเวลาที่เหมาะ ความงดงามของแสงสะท้อนดวงจันทร์บนผิวน้ำจะเปลี่ยนไปเมื่อลมแรงๆ มาปะทะผิวน้ำ หรือมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดก่อให้เกิดคลื่น ทำให้ผิวน้ำกระเพื่อม ความงามของแสงจันทร์ที่ติดกับผิวน้ำก็จะหายไป ความอภิรมย์และเวลาแห่งความสุขสงบก็ค่อยๆ หายไป จิตใจของเราเปรียบดั่งผิวน้ำ ความงดงามของพระเจ้าและธรรมชาติเปรียบดังแสงจันทร์ที่สาดแสงกระทบจิตใจของเรา ทุกครั้งที่เราใช้เวลาในมุมสงบ คำนึงถึงความงามของธรรมชาติ ประโยชน์ของธรรมชาติ มองดูดาว ดวงจันทร์ สัตว์บกสัตว์น้ำและนกในอากาศ ฯลฯ และเมื่อเราในฐานะที่เป็นบุตรของพระเจ้าใคร่ครวญคิดถึงความรักความเมตตา และสิ่งดีๆ มากมายที่ได้ทรงประทานให้ ในชั่วโมงเช่นนี้จะทำให้จิตใจสงบ อิ่ม และเปรมปรีดา แต่อย่างไรก็ตามในโลกแห่งความเป็นจริงทุกคนทราบดีว่ามีลมพายุแห่งปัญหา ความวุ่นวายต่างๆ ทั้งลูกเล็กและลูกใหญ่สร้างคลื่นในใจ ทำลายความงดงามที่มีอยู่ในใจและเปลี่ยนความงดงามกลายเป็นความกลัว ความวิตกกังวล คลื่นและลมบดบังและกลืนความงามที่มีอยู่ให้หายไป สถานการณ์ปัจจุบันขณะนี้พวกเรากำลังเผชิญกับคลื่นทางการเมือง ความไม่ลงตัวทางการเมือง เสถียรภาพที่คลอนแคลนของรัฐบาล การเผชิญหน้าระหว่างผู้คัดค้าน การเดินขบวนเรียกร้องจากลุ่มต่างๆ... คลื่นทางเศรษฐกิจ ค่าครองชีพสูงขึ้นเรื่อยๆ รายได้เพิ่มน้อยกว่าค่ารองชีพที่สูงขึ้น ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเป็นประวัติกาลเนื่องจากราคาน้ำมันทะยานสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ประชาชนระดับกลางและล่างโดนพายุหนักกว่าคนอื่น ... คลื่นทางสังคมสืบเนื่องมาจากเศรษฐกิจ ข้าวยากหมากแพง ทำให้คนป่วยทางจิตมากขึ้น ท้อแท้ใจ รู้สึกกังวลและสิ้นหวัง สถิติคนฆ่าตัวตายมากขึ้น คนหันไปทำผิดศีลธรรมเพื่อเอาตัวรอดมากขึ้นผิดปกติ อาชญากรรมตั้งแต่ลักเล็กขโมยน้อยจนปล้นจี้ขยายตัวอย่างมากมาย... พายุความวิบัติทางธรรมชาติสาเหตุจากภาวะโลกร้อนเช่น พายุทำลายสูง ฝนตกหนัก น้ำท่วม รวมทั้งเรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติอื่น เช่น แผ่นดินไหวถี่ขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นคือ พายุที่เข้ามากระทบภาวะจิตใจ สร้างคลื่นภายในใจ ทำลายความสงบและสมาธิ มันนำเราไปสู่การมองโลกทางลบอย่างสิ้นหวัง ผู้อ่านที่รักผมอยากให้เห็นความจริงอีกด้านหนึ่งคือ ดวงจันทร์ไม่เคยอับแสง มันยังคงส่องแสงเหมือนเดิม พายุที่พัดมันจะไม่เป็นอย่างนั้นตลอดกาล เหมือนบทเพลงๆ หนึ่งที่มีเนื้อร้องว่า “...มืดมิดก่อนฟ้าสาง…” พายุที่พัดมาและมันก็จะเลยไป เวลาที่มีพายุมา จงหลบอยู่ในพระสัญญาของพระเจ้า และมั่นคงในความรักอันไม่แปรเปลี่ยนของพระองค์ พระหัตถ์ของพระเจ้าจะยึดเราไว้ในวันพายุกล้า พระองค์จะโอบเราไว้ให้อบอุ่น คลื่นแห่งความกลัวจะสงบลงและคลื่นแห่งความรัก ความยินดี และความปลาบปลื้มจะเข้ามาแทนที่
แสงจันทร์ที่สาดแสงลงไปบนแผ่นผิวของแม่น้ำหรือทะเลเวลาค่ำคืน สร้างความรู้สึกที่ดีช่วยสร้างจินตนาการและทำให้รู้สึกสงบในจิตใจ ฉะนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยทำไมคนจึงชอบใช้เวลากับบรรยากาศเช่นนี้ แต่เป็นที่น่าเสียดายภาพที่พูดถึงนี้ไม่อาจมีให้ดูตลอดเวลา เพราะมันขึ้นอยู่กับฤดูกาลและเวลาที่เหมาะ ความงดงามของแสงสะท้อนดวงจันทร์บนผิวน้ำจะเปลี่ยนไปเมื่อลมแรงๆ มาปะทะผิวน้ำ หรือมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดก่อให้เกิดคลื่น ทำให้ผิวน้ำกระเพื่อม ความงามของแสงจันทร์ที่ติดกับผิวน้ำก็จะหายไป ความอภิรมย์และเวลาแห่งความสุขสงบก็ค่อยๆ หายไป จิตใจของเราเปรียบดั่งผิวน้ำ ความงดงามของพระเจ้าและธรรมชาติเปรียบดังแสงจันทร์ที่สาดแสงกระทบจิตใจของเรา ทุกครั้งที่เราใช้เวลาในมุมสงบ คำนึงถึงความงามของธรรมชาติ ประโยชน์ของธรรมชาติ มองดูดาว ดวงจันทร์ สัตว์บกสัตว์น้ำและนกในอากาศ ฯลฯ และเมื่อเราในฐานะที่เป็นบุตรของพระเจ้าใคร่ครวญคิดถึงความรักความเมตตา และสิ่งดีๆ มากมายที่ได้ทรงประทานให้ ในชั่วโมงเช่นนี้จะทำให้จิตใจสงบ อิ่ม และเปรมปรีดา แต่อย่างไรก็ตามในโลกแห่งความเป็นจริงทุกคนทราบดีว่ามีลมพายุแห่งปัญหา ความวุ่นวายต่างๆ ทั้งลูกเล็กและลูกใหญ่สร้างคลื่นในใจ ทำลายความงดงามที่มีอยู่ในใจและเปลี่ยนความงดงามกลายเป็นความกลัว ความวิตกกังวล คลื่นและลมบดบังและกลืนความงามที่มีอยู่ให้หายไป สถานการณ์ปัจจุบันขณะนี้พวกเรากำลังเผชิญกับคลื่นทางการเมือง ความไม่ลงตัวทางการเมือง เสถียรภาพที่คลอนแคลนของรัฐบาล การเผชิญหน้าระหว่างผู้คัดค้าน การเดินขบวนเรียกร้องจากลุ่มต่างๆ... คลื่นทางเศรษฐกิจ ค่าครองชีพสูงขึ้นเรื่อยๆ รายได้เพิ่มน้อยกว่าค่ารองชีพที่สูงขึ้น ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเป็นประวัติกาลเนื่องจากราคาน้ำมันทะยานสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ประชาชนระดับกลางและล่างโดนพายุหนักกว่าคนอื่น ... คลื่นทางสังคมสืบเนื่องมาจากเศรษฐกิจ ข้าวยากหมากแพง ทำให้คนป่วยทางจิตมากขึ้น ท้อแท้ใจ รู้สึกกังวลและสิ้นหวัง สถิติคนฆ่าตัวตายมากขึ้น คนหันไปทำผิดศีลธรรมเพื่อเอาตัวรอดมากขึ้นผิดปกติ อาชญากรรมตั้งแต่ลักเล็กขโมยน้อยจนปล้นจี้ขยายตัวอย่างมากมาย... พายุความวิบัติทางธรรมชาติสาเหตุจากภาวะโลกร้อนเช่น พายุทำลายสูง ฝนตกหนัก น้ำท่วม รวมทั้งเรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติอื่น เช่น แผ่นดินไหวถี่ขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นคือ พายุที่เข้ามากระทบภาวะจิตใจ สร้างคลื่นภายในใจ ทำลายความสงบและสมาธิ มันนำเราไปสู่การมองโลกทางลบอย่างสิ้นหวัง ผู้อ่านที่รักผมอยากให้เห็นความจริงอีกด้านหนึ่งคือ ดวงจันทร์ไม่เคยอับแสง มันยังคงส่องแสงเหมือนเดิม พายุที่พัดมันจะไม่เป็นอย่างนั้นตลอดกาล เหมือนบทเพลงๆ หนึ่งที่มีเนื้อร้องว่า “...มืดมิดก่อนฟ้าสาง…” พายุที่พัดมาและมันก็จะเลยไป เวลาที่มีพายุมา จงหลบอยู่ในพระสัญญาของพระเจ้า และมั่นคงในความรักอันไม่แปรเปลี่ยนของพระองค์ พระหัตถ์ของพระเจ้าจะยึดเราไว้ในวันพายุกล้า พระองค์จะโอบเราไว้ให้อบอุ่น คลื่นแห่งความกลัวจะสงบลงและคลื่นแห่งความรัก ความยินดี และความปลาบปลื้มจะเข้ามาแทนที่
วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2551
ทั้งดีใจและเสียใจ
มีเรื่องเล่าว่าชายชราสามคนขี่ม้าข้ามทะเลทรายนตอนกลางคืน ขณะที่ใกล้ถึงก้นลำธารที่แห้งผากแห่งหนึ่ง พวกเขาก็ได้ยินเสียงหนึ่งสั่งให้พวกเขาลงจากม้า เก็บหินสองสามก้อนใส่ไว้ในกระเป๋าและห้ามดูจนกว่าจะถึงพรุ่งนี้เช้า พวกเขาได้รับสัญญาว่า พวกเขาจะพบทั้งความดีใจและเสียใจ หลังจากนั้นทั้งสามก็ออกเดินทางต่อไป
เมื่อถึงเวลารุ่งเช้า ชายสามคนก็ล้วงมือเข้าไปหยิบก้อนหินในกระเป๋า ซึ่งบันี้กลายเป็นเพชร ทับทิมและพลอยมีค่าอื่น ๆ ทำให้พวกเขาประหลาดใจมาก ตอนนี้เองที่พวกเขาเข้าใจคำพูดที่ว่าพวกเขาจะทั้งดีใจ และเสียใจ พวกเขาดีใจที่เก็บหินมา แต่ก็เสีใจ เสียใจมากที่ไม่ได้เก็บมามากกว่านี้
ผมสงสัยว่าเราจะรู้สึกเช่นนี้ เมื่อเข้าแผ่นดินสวรรค์หรือไม่ เราจะดีใจกับทรัพย์สมบัติที่สำสมไว้ในสวรรค์เมื่อเราอยู่ในโลก และชื่นชมยินดีกับรางวัลที่พระคริสต์ประทานให้ แต่เราก็คงจะเสียใจ ที่ไม่ได้รับใช้มากกว่านี้
ให้เราทำอย่างสุดกำลังและโอกาส เพื่อเราะดีใจมากกว่าเสยใจ
(มัทธิว 6:19-20)
19 "อย่าส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวในโลก ที่อาจเป็นสนิมและที่แมลงกินเสียได้ และที่ขโมยอาจขุดช่องลักเอาไปได้
20 แต่จงส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ ที่ไม่มีแมลงจะกินและไม่มีสนิมจะกัด และที่ไม่มีขโมยขุดช่องลักเอาไปได้
เมื่อถึงเวลารุ่งเช้า ชายสามคนก็ล้วงมือเข้าไปหยิบก้อนหินในกระเป๋า ซึ่งบันี้กลายเป็นเพชร ทับทิมและพลอยมีค่าอื่น ๆ ทำให้พวกเขาประหลาดใจมาก ตอนนี้เองที่พวกเขาเข้าใจคำพูดที่ว่าพวกเขาจะทั้งดีใจ และเสียใจ พวกเขาดีใจที่เก็บหินมา แต่ก็เสีใจ เสียใจมากที่ไม่ได้เก็บมามากกว่านี้
ผมสงสัยว่าเราจะรู้สึกเช่นนี้ เมื่อเข้าแผ่นดินสวรรค์หรือไม่ เราจะดีใจกับทรัพย์สมบัติที่สำสมไว้ในสวรรค์เมื่อเราอยู่ในโลก และชื่นชมยินดีกับรางวัลที่พระคริสต์ประทานให้ แต่เราก็คงจะเสียใจ ที่ไม่ได้รับใช้มากกว่านี้
ให้เราทำอย่างสุดกำลังและโอกาส เพื่อเราะดีใจมากกว่าเสยใจ
(มัทธิว 6:19-20)
19 "อย่าส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวในโลก ที่อาจเป็นสนิมและที่แมลงกินเสียได้ และที่ขโมยอาจขุดช่องลักเอาไปได้
20 แต่จงส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ ที่ไม่มีแมลงจะกินและไม่มีสนิมจะกัด และที่ไม่มีขโมยขุดช่องลักเอาไปได้
นมสดแก้วหนึ่ง
จ่ายค่ารักษาพยาบาลเรียบร้อยแล้ว ด้วยนมหนึ่งแก้ว”
ข้อมูลจากฝ่าย ประชาสัมพันธ์วันที่ 05/11/2004
เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เด็กชายเคลลี่ที่ยากจน เขาต้องหาเงินไปโรงเรียนเอง ด้วยการนำสิ่งของไปขายตามบ้านที่อยู่ในเมืองใกล้เคียง วันหนึ่งเขาพบว่าเมื่องจ่ายค่ารถ และค่าสินค้าแล้ว เขามีเงินในกระเป๋าเหลือเพีง 10 เซ็นต์ เท่านั้น ขะนั้นเขากำลังหิวมาก แต่เงินสดที่มีอยู่นั้นไม่เพียงพอจะซื้ออาหารแม้แต่มื้อเดียว ดังนั้นเขาจึงคิดจะไปขออาหารจากบ้านที่กำลังเดินไปถึง แต่เมื่อกดกริ่งแล้ว หญิงสาวเจ้าของบ้ามาเปิดประตู เด็กชายเคลลี่กลับเกิดความละอายที่จะขออาหารเหมือนกับขอทานที่ไม่รู้จักทำมาหากิน เขาจึงขอเพียงน้ำเปล่าแก้วเดียวเท่านั้น แต่เจ้าของบ้านสาวสังเกตเห็นท่าทางของเด็กชายเคลลี่ว่ากำลังหิว เธอจึงนำนมสดแก้วใจมาให้ เด็กชายเคลลี่ดื่มอย่างกระหายจนหมดแก้ว แล้วถามว่า ผมต้องจ่ายค่านมถ้วยนี้ให้คุณเท่าไรครับ เจ้าของบ้านตอบว่า “ ไม่ต้องจ่ายหรอก แม่ของฉันสอนไม่ให้รับสิ่งตอบแทนจากการให้ไมตรี เคลลี่ซาบซึ้งใจมากและตอบว่า “ถ้าเช่นนั้น ก็ขอขอบคุณอย่างยิ่ง จากหัวใจของผมก็แล้วกันนะครับ”ขณะที่เด็กชายเคลลี่ได้เดินออกจากบ้านหลังนั้น เขาไม่เพียงแต่รูซ้สึกว่ามีกำลังแข็งแรงขึ้นจากนมสดแก้วโตเท่านั้น แต่เขาได้มีความเข้าใจในเรื่องน้ำใจไมตรีมากขึ้นด้วย
อีก 30 ปีต่อมา มีผู้หญิงคนหนึ่งปาวยหนักด้วยโรคหัวใจซึ่งแพทย์ท้องถิ่นไม่สามารถรักษาได้จึงส่งไปให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านหัวใจเป็นผู้ทำการรักษา เมื่อได้อ่านประวัติผู้ป่วยแล้วแพทย์ผู้เชียวชาญท่านนั้นสะดุดใจกับชื่อหมู่บ้านของผู้ป่วยคนนั้นจึงตั้งใจรักษาด้วยการผ่าตัดหัวใจอย่างพิเศษ โดยใช้อุปกรณ์ทันสมัยที่สุด และยาราคาแพงที่สุดจนผู้ป่วยหายเป็นปกติพ้อมจะกลับบ้านได้ ผู้ป่วยเกรงว่าค่ารักษาพยาบาลคงจะมีราคาแพงหลายหมื่นดอลลาร์ ซึ่งเธอเข้าใจว่าคงต้องทำงานทั้งชีวิตกว่าที่เธอจะหาเงินค่ารักษาพยาบาลมาได้ เพราะเธอไม่มีประกันสุขภาพและไม่สามารถเบิกได้จากที่ไหน แต่แพทย์ผู้เชียวชาญคนนั้นได้บอกเจ้าหน้าที่บัญชีให้นำใบเสร็จไปให้เขา
แล้วหมอก็ใช้ปากกาเขียนข้อความ 2 บรรทัดแล้วยื่นให้เจ้าหน้าที่บอกให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินเลย
ข้อความที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญท่านนั้นเขียนในใบเรียกเก็บเงินนั้นมีว่า
“จ่ายค่ารักษาพยาบาลเรียบร้อยแล้ว ด้วยนมหนึ่งแก้ว”
..........ลงนาม นายแพทย์โฮเวอร์ด เคลลี่
บทความของคณะทำงานกลุ่มน้ำใจไมตรี ประเทศสิงคโปร์
จดหมายของ นายแพทย์ โฮเวอร์ค เคลลี่
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)